พ่อท่านฉิ้น
ประวัติพ่อท่านฉิ้น
พระธรรมสิทธิมงคล หรือพ่อท่านฉิ้น มีนามเดิมว่า ฉิ้น ทองกาวแก้ว เกิดเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๙ ณ บ้านเลขที่ ๑๒๙ หมู่ ๑ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา ในวัยเยาว์เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี จึงได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนวัดสามบ่อ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา แต่พอเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก็ไม่สามารถเรียนต่อในระดับที่สูงได้ เนื่องจากฐานะความเป็นอยู่ของทางบ้านที่ค่อนข้างยากจน ประกอบกับการที่ท่านมีใจใฝ่ศึกษาหาความรู้เสริมเป็นมงคลชีวิต ทำให้ท่านเบนเข็มชีวิต สละชีวิตทางโลกมุ่งสู่ร่มธรรมแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบรรพชาเป็นสามเณร ณ พัทธสีมาวัดสามบ่อ ต.วัดสน อ.ระโนด จ.สงขลา เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๘๕ โดยมี พระครูปทุมธรรมธารี เจ้าอาวาสวัดสามบ่อ เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ท่านจึงได้เริ่มต้นศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโท ในสำนักเรียนจังหวัดสงขลา ก่อนจะออกเดินทางไปศึกษาต่อที่วัดพุทธภูมิ อ.เมืองจ.ยะลา จนกระทั่งอายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ จึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยวิธีญัตติกรรม เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๐ ณ พัทธสีมาวัดสามบ่อ จ.สงขลา โดยมี พระครูปทุมธรรมธารี เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระอธิการคำวัดสน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า“โชติโก” ซึ่งแปลว่า “ผู้มีธรรมอันเจริญรุ่งเรือง”
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้เดินทางกลับมาศึกษาเล่าเรียนอยู่จำพรรษาที่วัดพุทธภูมิดังเดิม และในปีพ.ศ.๒๔๙๒ ท่านได้สอบเปรียญธรรม ๓ ประโยค และสอบได้นักธรรมชั้นเอก จากสำนักวัดพุทธภูมิ อ.เมือง จ.ยะลา พร้อมกับเริ่มงานรับภารกิจคณะสงฆ์ในการอบรมข้าราชการใน อ.รามัน จ.ยะลา จนพ.ศ.๒๔๙๔ สอบได้เปรียญธรรม ๕ ประโยค จากสำนักวัดพุทธภูมิ อ.เมือง จ.ยะลา ในปีเดียวกันนั้น ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพุทธภูมิ และเป็นครูสอนพระปริยัติธรรมประจำสำนักเรียนไปด้วย
กระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๐๖ ทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการประกาศแต่งตั้งสำนักสงฆ์บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดหลังเก่าขึ้นเป็นวัด ซึ่งมีชื่อว่า “วัดเมืองยะลา” และได้พระมหาฉิ้น โชติโกเข้ามาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นรูปแรกในปี พ.ศ.๒๕๐๗ นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างตำนานของพ่อท่านฉิ้น โชติโกนับตั้งแต่นั้นสืบต่อมาอีกกว่า ๕๐ ปี อันนำมาซึ่งความเคารพบูชาต่อลูกศิษย์ลูกหาเป็นอย่างมาก
มรณภาพ
ในคืนวันที่ ๓๐ ก.ย. ๕๙ พระธรรมสิทธิมงคล หรือหลวงพ่อฉิ้น โชติโก เจ้าอาวาสวัดเมืองยะลา ได้มีอาการเจ็บป่วยมากจนหมดสติ ลูกศิษย์ได้นำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา ทีมแพทย์ได้ให้การช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งท่านละสังขารอย่างสงบ สิริอายุรวม ๘๙ ปี ๙ เดือน ๗๐ พรรษา
วัตถุมงคล
วัตถุมงคล ที่ท่านสร้างขึ้นที่ได้รับความนิยมในวงการ นักสะสม นั้นก็มีอยู่ด้วยกันสองรุ่น คือ พระหลวงพ่อทวดเนื้อว่าน และพระสังกัจจายน์เนื้อโลหะ ซึ่งทั้งหมดนั้นสร้างขึ้นเมื่อปีพ.ศ.๒๕๐๕
โดย พระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน ถือได้ว่าเป็นสุดยอด พระเครื่อง แห่งเมืองยะลา ซึ่งมีส่วนผสมของ พระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน วัดช้างให้ พ.ศ.๒๔๙๗ มาผสมอยู่จำนวนมาก ลักษณะพิมพ์ลึกคมชัดดูเป็นพระหลวงพ่อทวดที่มีความสวยงามอีกองค์หนึ่ง โดยการปลุกเสกทำขึ้นถึง ๒ ครั้งคือในพ.ศ.๒๕๐๕ ณ วัดช้างให้ ร่วมกับพิธี หลวงพ่อทวดเตารีด อันโด่งดัง ครั้งที่ ๒ ที่ วัดเมือง ในพ.ศ.๒๕๐๗ โดยที่ พระอาจารย์ทิม เป็นผู้ปลุกเสกทั้งสองครั้ง เป็น พระหลวงพ่อทวด ต่างวัดโด่งดังไม่แพ้กับ วัดช้างให้ เลยทีเดียว ที่สามารถใช้แทนกันได้อย่างสนิทใจ
ส่วน พระสังกัจจายน์ วัดเมืองยะลา พ.ศ.๒๕๐๕ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ และความสุข เหมาะสำหรับการทำมาค้าขาย โดย วัดเมืองยะลา สมัย พ.ศ.๒๕๐๕ ได้เป็นสถานที่จัดสร้าง วัตถุมงคล หลวงพ่อทวด โดยมี พ่อท่านฉิ้น โชติโก เจ้าอาวาสในขณะนั้น และพระอาจารย์ทิม ธัมมธโร แห่งวัดช้างให้ ได้ร่วมกันทำพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณหลวงปู่ทวดที่วัดเมือง และต่อมาได้ทำพิธีที่วัดช้างให้ เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งเป็นพิธีเดียวกันกับการปลุกเสกพระหลวงพ่อทวดหลังเตารีด โดยในพิธีนั้นได้จัดสร้างสังกัจจายน์ จำนวน ๒,๐๐๐ องค์ อันเป็นที่มาของความศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง