ประวัติกรุวัดเงิน
กรุวัดเงิน หรือวัดเงินเป็นสถานที่ซึ่งในปัจจุบันไม่ปรากฏให้เห็นกันแล้ว เนื่องจากกลายเป็นที่ตั้งของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เรียกได้ว่าถ้าไม่ใช่ผู้เฒ่าผู้แก่ในท้องถิ่นคงจะไม่ทราบมาก่อนว่า บริเวณท่าเรือคลองเตยเคยเป็นที่ตั้งของวัดมาก่อน และน้อยคนนักที่จะทราบถึงความเป็นมา ในอดีตบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทยหรือท่าเรือคลองเตย เคยเป็นที่ตั้งของวัดสำคัญๆถึง ๓ วัดด้วยกัน คือ
๑.วัดหน้าพระธาตุ วัดเก่าแก่ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
๒.วัดเงิน หรือวัดหิรัญสีวลี สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยชาวรามัญ ชื่อนายมะซอน และภรรยา
๓.วัดทองล่าง หรือวัดโพธิ์ทอง สร้างหลังวัดเงินประมาณ ๗๕-๘๐ ปี โดยนายทองและพระภิกษุรามัญ
โดยในปี พ.ศ.๒๔๘๐ ทางรัฐบาลต้องการที่ดินบริเวณดังกล่าวเพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นบริเวณที่อยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาและมีร่องน้ำลึก จึงต้องเวนคืนที่ดินของวัดทั้ง ๓ วัด หลังจากนั้นวัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่างย้ายไปสร้างใหม่ที่ตำบลบ้านกล้วย และยุบรวมเป็นวัดเดียวกัน ชื่อว่าวัดธาตุทอง ในปัจจุบันตั้งอยู่ตรงเอกมัย เยื้องสถานีขนส่งเอกมัย(สายตะวันออก) ส่วนวัดเงินไม่มีประวัติการโยกย้ายแต่อย่างใด
การค้นพบกรุวัดเงิน
สำหรับการค้นพบพระกรุวัดเงินนั้น หลังจากมีการเวนคืนที่ดินแล้ว จึงรื้อถอนสิ่งก่อสร้างต่างๆ ในวัดทั้งสาม พอเข้ารื้อถอนที่วัดเงินปรากฏว่าพบพระเนื้อผงบรรจุอยู่ในพระเจดีย์หลายๆ องค์ และมีมากมายหลายแบบหลายพิมพ์ทรง อาทิ พระกรุวัดเงินคลองเตย พิมพ์สังกัจจายน์ไม่มีหู พระกรุวัดเงินคลองเตย พิมพ์วัดตะไกร พิมพ์ป่าเลไลยก์ พิมพ์พระคง พิมพ์พระสังกัจจายน์มีหู-ไม่มีหู พิมพ์พระประธาน พิมพ์เล็บมือสมาธิ-มารวิชัย พิมพ์หน้าฤๅษี และพิมพ์ซุ้มกอฐานสูง-ฐานเตี้ย พระปิดตากรุวัดเงินคลองเตย และพระเครื่องทรงคุณค่าอีกหลายต่อหลายองค์ บรรดาเซียนพระและนักสะสมจึงเรียกขานกันว่ากลุ่มพระชุดนี้ว่าพระกรุวัดเงิน
แรกเริ่มเดิมทีพระกรุวัดเงินที่ค้นพบมีสนนราคาเช่าซื้อถูกเอามากๆ เรียกว่าซื้อกันทีละปี๊บทีละกำเลยทีเดียว จนมาถึงช่วงสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในยามศึกสงครามผู้คนก็ต่างอาศัยพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจและสร้างขวัญกำลังใจ ปรากฏว่าผู้ที่แขวนหรือสักการะพระกรุวัดเงิน คลองเตย ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ทรงใดก็ได้ประจักษ์ในพุทธคุณเป็นที่ปรากฏทั้งสิ้น ความนิยมสะสมจึงกว้างขวางขึ้น สนนราคากระเถิบสูงขึ้นมาจน ณ ปัจจุบันบางพิมพ์ถึงหลักหมื่น และหลายๆหมื่นก็มี โดยเฉพาะพิมพ์ที่สมบูรณ์และพิมพ์ที่ค่อนข้างหายาก
ลักษณะขององค์พระในกรุวัดเงิน
จากการพิจารณาเนื้อหามวลสารแล้วสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพระที่สร้างขึ้นในราวสมัยรัชกาลที่ ๔ หรือรัชกาลที่ ๕ นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะคือ พระเนื้อแกร่ง และพระเนื้อแก่ปูน
โดยพระเนื้อแกร่ง จะมีเนื้อมวลสารที่ภาษาวงการพระเรียกเนื้อจัด พิจารณาได้ง่าย มีความแกร่งแน่น และมีความหนึกนุ่ม ผิวขององค์พระจะคล้ายกันมากกับผิวของพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมกรุเก่า สังเกตที่ผิวขององค์พระจะปรากฏรอยลานตัวหนอนซึ่งมีขนาดใหญ่เล็กสลับกัน
ส่วนพระเนื้อแก่ปูน เนื้อในขององค์พระจะค่อนข้างขาวจัด การเกาะตัวของเนื้อมวลสารไม่แน่นเหมือนแบบแรกเนื่องจากมีตัวประสานน้อย ลักษณะเนื้อขององค์พระจะร่วนและแห้ง น้ำหนักเบา หลุดร่อนได้ง่าย จึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการจับต้องหรือสัมผัส และเนื่องจากเป็นพระที่ถูกบรรจุในกรุพระเจดีย์ จึงเป็นพระที่จะมีคราบกรุเกาะตามพื้นผิวขององค์พระ คราบกรุขององค์พระที่อยู่ตอนบนจะมีลักษณะคล้ายฟองเต้าหู้ สีเหลืองอมน้ำตาลจับอยู่บนผิว บางองค์มากทั่วทั้งองค์พระ บางองค์จับเป็นบางส่วน และฟองเต้าหู้บางจุดจะปะทุฟูตัว ส่วนองค์พระที่อยู่ใต้ๆลงไปจะมีคราบกรุจับน้อยมากบางองค์แทบไม่มีเลย อาจมีคราบดินกรุสีน้ำตาลเป็นขุยจับเป็นหย่อมๆ เท่านั้น หรือมีลักษณะปะทุเป็นเม็ดเล็กๆ ประปรายถือได้ว่าเป็นพระที่มีผิวสะอาดสะอ้านทีเดียว
พระกรุวัดเงิน นับเป็นพระที่ได้รับความนิยมสะสมอย่างมากในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องโดยทั่วไป เนื่องจากชื่ออันเป็นมงคลคือวัดเงิน ยิ่งถ้าเป็นพิมพ์พระสังกัจจายน์ ซึ่งมีพุทธคุณด้านโชคลาภด้วยแล้ว สนนราคาค่อนข้างสูงเอาการสำหรับในวงการนักสะสม