หลวงปู่เผือก ปัญญาธโร วัดกิ่งแก้ว หรือ พระครูกรุณาวิหารี คือพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรปราการในยุคกึ่งพุทธกาล พระเครื่องของท่านมีอานุภาพมากมาย มีประสบการณ์ในทางเมตตามหานิยม แคล้วคลาดอันตราย อธิษฐานได้ตามความปรารถนา
เรื่องราว หลวงปู่เผือก กับอภินิหารแก้วฟ้าท่องสวรรค์ กรณีของ ครูแก้ว อัจฉริยะกุลกับการท่องสวรรค์ ได้ถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกไทม์ ฉบับประจำวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2512 รายละเอียดมีอยู่ว่าหลังจากที่ครูแก้วประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บขาหักและกระดูกสะบ้าหัวเข่าแตก ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลแต่ก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งครูแก้วได้พบวิญญาณศักดิ์ของหลวงปู่เผือก อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดสาลีโข ซึ่งประทับร่างของหลวงพ่อสมภพ เตชะปุญโญ หลวงปู่เผือกได้รับครูแก้วไว้เป็นลูกบุญธรรมเนื่องด้วยอดีตชาติที่ผ่านมาครูแก้วเคยเกิดมาเป็นลูกของท่านแล้วในชาติหนึ่ง
เมื่อ หลวงปู่เผือก ได้ทำการรักษาอาการบาดเจ็บของครูแก้วจนหายขาด ทำให้ครูแก้วบังเกิดความเคารพเลื่อมใสในวิญญาณของหลวงปู่เผือกอย่างจริงใจจึงได้นิมนต์หลวงพ่อสมภพเพื่อให้ประทับร่างวิญญาณของหลวงปู่เผือกเพื่อจะได้สอนให้ท่านปฏิบัติวิปัสสนา โดยครูแก้วได้เดินทางไปนั่งฝึกสมาธิกับหลวงพ่อสมภพในสถานที่ซึ่งหลวงปู่เผือกท่านได้กำหนดให้รวม 3 ครั้ง คือถ้ำแห่งหนึ่งในอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ 1 ครั้ง เชิงผาลาดในเขตท้องที่จังหวัดเชียงใหม่ 1 ครั้งและที่ถ้ำแก่งละว้า จังหวัดกาญจนบุรีอีก ๑ ครั้ง
ครูแก้วเล่าว่าเมื่อได้ฝึกสมาธิจิตตามคำสั่งของหลวงปู่เผือกดังกล่าวแล้ว คืนวันหนึ่งในปี 2508 หลวงปู่ได้สั่งให้นั่งสมาธิเพื่อส่งกระแสจิตติดตามท่านไป ซึ่งในขณะนั้นหลวงปู่เผือกท่านได้ประทับอยู่ในร่างของหลวงพ่อสมภพและคอยให้คำแนะนำสอบถามความเป็นไปอย่างใกล้ชิด โดยวิธีเข้าสมาธิก็คือ
ให้กราบพระและนั่งทำจิตให้สงบ สักครู่หลวงปู่ก็สั่งให้ทำจิตให้เหมือนขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านแล้วให้มองไปทางขอบฟ้าไกลๆ จะเห็นภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่งตั้งอยู่เมื่อครูแก้วปฏิบัติตามและเห็นตามนั้นแล้ว หลวงปู่เผือกท่านก็ได้สั่งให้ครูแก้วอธิษฐานจิตให้ไปอยู่บนภูเขาแล้วก็ให้มองลงไปเบื้องล่าง ครูแก้วเล่าว่าเมื่อตัวท่านได้มองลงไป ท่านได้เห็นพระอุโบสถหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางสระน้ำ มีบัวสีต่างๆ ชูดอกบานสะพรั่ง รอบๆ พระอุโบสถมีกำแพงแก้วล้อมไว้อีกขั้นหนึ่ง
หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเข้าไปในพระอุโบสถนั้น เมื่อครูแก้วได้เข้าไปตามคำสั่งของหลวงปู่เผือก ท่านได้เห็นว่าตรงกลางของพระอุโบสถมีพานตั้งอยู่บนที่บูชาและในพานนั้นมีแสงสว่างเจิดจ้า หลวงปู่เผือกได้สั่งให้ครูแก้วกราบพานนั้น 3 หนและให้เดินชมรอบๆ เป็นทักษิณาวัฏ 3 รอบ โดยสถานที่แห่งนี้หลวงปู่เผือกท่านได้บอกครูแก้วว่าเป็น “พระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว” (อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์)
หลังจากนมัสการพระเขี้ยวแก้วและได้ชมครบสามรอบแล้ว หลวงปู่เผือกท่านได้สั่งให้ครูแก้วเดินทางต่อไปยังภูเขาอีกลูกหนึ่งเพื่อพบกับตัวของหลวงปู่เผือก ซึ่งเมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงจุดนัดพบท่านก็เห็นว่าที่เชิงเขามีวิหารสวยงามตั้งอยู่หลังหนึ่ง รอบๆ บริเวณวิหารมีต้นดอกซ่อนกลิ่นปลูกเอาไว้เป็นแปลงๆ เต็มไปหมด และเมื่อครูแก้วได้เดินตรงไปยังวิหารก็มีคนๆ หนึ่งออกมาถามว่า “จะมาหาใคร”
ครูแก้วจึงตอบว่าจะมาหาหลวงปู่เผือกเพราะตัวท่านเป็นลูกของหลวงปู่เผือก เมื่อครูแก้วได้รับอนุญาตให้เข้าไปพบและท่านได้เข้าไปข้างในแล้ว ท่านได้เห็นหลวงปู่เผือกนั่งอยู่บนตั่งกลางวิหารและมีพระสงฆ์นั่งรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก ครูแก้วจึงได้ตรงเข้าไปกราบหลวงปู่เผือกและบรรดาพระสงฆ์เหล่านั้นด้วยความปลื้มปิติ
ซึ่งครูแก้วเข้าใจว่าหลวงปู่เผือกท่านได้แบ่งภาคมาประทับร่างและเป็นผู้นำพาท่านไปพบกับหลวงปู่เผือกด้วยตัวของหลวงปู่เผือกเอง และสถานที่อยู่ของหลวงปู่เผือกที่ท่านได้เข้ามาพบ ในภายหลังครูแก้วได้ทราบต่อมาว่าสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม
ครูแก้วเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อท่านได้นมัสการหลวงปู่เผือกเรียบร้อยแล้ว ท่านได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางต่อไปเพื่อนมัสการหลวงปู่ฤาษี ซึ่งสำนักของหลวงปู่ฤาษีตั้งอยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่งที่อยู่ต่ำลงไป เมื่อครูแก้วเดินทางไปถึงภูเขาลูกนั้นก็พบว่ามีโยคีจำนวนมากนั่งอยู่ตามโขดหินและถ้ำเล็กๆ รอบๆ ภูเขา
บรรดาโยคีเหล่านั้นต่างก็นั่งบริกรรมในท่าต่างๆ กัน บางรูปยืนกางแขน บางรูปยืนขาเดียว บางรูปเอาศีรษะตั้งกับพื้นและบางรูปก็สวดมนต์เสียงดังมากตลอดเวลา และเมื่อครูแก้วเดินเข้าไปก็มีโยคีมาถามว่า “มาหาใคร”
เมื่อครูแก้วตอบว่ามาหาปู่ฤาษี ท่านจึงได้รับการนำพาเข้าไปยังในถ้ำและเห็นหลวงปู่ฤาษีนั่งอยู่บนอาสนะเป็นหินและมีหน่อไม้ทองคำส่องแสงแวววาวอยู่หน้าอาสนะของท่านดอกหนึ่งด้วย รอบๆ อาสนะของหลวงปู่ฤาษียังมีสมุดข่อยจดตำหรับตำราต่างๆ กองอยู่เป็นตั้งๆ มากมาย
หลังจากที่ครูแก้วได้นมัสการและตอบคำถามบางข้อของหลวงปู่ฤาษีเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้รับอนุญาตให้ออกชมทิวทัศน์บริเวณรอบๆ ภูเขา ซึ่งมีลำธาร ต้นไม้และดอกไม้สวยงามมาก จากนั้นครูแก้วจึงได้รับคำสั่งจากหลวงปู่เผือกให้เดินทางกลับไปตามเส้นทางเดิมคือกลับแวะนมัสการหลวงปู่เผือก พระเขี้ยวแก้วที่จุฬามณี จนถึงบ้านก็ลืมตาขึ้น
ครูแก้วได้เล่าเพิ่มเติมต่อว่า หลังจากที่ท่านได้ขึ้นท่องสวรรค์ด้วยการนำพาของหลวงปู่เผือกในครั้งนั้นแล้ว ต่อมาท่านยังได้ทำสมาธิเดินทางไปยังสถานที่เดิมอีกหลายครั้ง โดยในครั้งหลังๆ นี้จะเป็นการเดินทางไปด้วยตนเอง โดยเพียงแต่รับคำแนะนำและการฝึกปฏิบัติจากหลวงปู่ล่วงหน้าเท่านั้น
แต่ต่อมาภายหลังครูแก้วท่านได้มีภารกิจมากขึ้น ทำให้ท่านไม่มีเวลาปฏิบัติวิปัสสนา ครั้นเมื่อขาดการปฏิบัติติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนาน ในที่สุดการส่งกระแสจิตไปสวรรค์จึงไม่สามารถกระทำได้อีก ซึ่งในประเด็นการเดินทางไปสวรรค์นี้ครูแก้วบอกว่า ขณะที่ท่านได้ส่งกระแสจิตออกท่องเที่ยว ท่านมีสติและรู้สึกตัวตลอดเวลา ภาพที่เห็นก็ชัดเจนอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงมิใช่เป็นการนั่งฝันแต่อย่างใด
สำหรับหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วบอกว่าท่านชื่อ “ฤาษีแสงอาทิตย์” มีความคุ้นเคยกับหลวงปู่เผือกตั้งแต่สมัยที่หลวงปู่เผือกยังมีชีวิตอยู่และส่งญาณพบกันจึงได้คุยกันทางญาณจนมีความคุ้นเคย หลวงปู่ฤาษีท่านเป็นชาวภารตะและแต่งตัวคล้ายโยคี เวลาพูดด้วยต้องใช้ภาษาทางจิตโต้ตอบกัน รูปร่างลักษณะของหลวงปู่ฤาษีครูแก้วบอกว่าในขณะที่ท่านได้พบดูไม่ออกมาจะเป็นคนแก่หรือคนหนุ่ม
ครูแก้วจึงสันนิษฐานว่าหลวงปู่ฤาษียังมีชีวิตอยู่และจะต้องมีอายุที่ยืนยาวนานแน่ๆ เพราะตอนที่หลวงปู่ฤาษีนัดพบกับหลวงปู่เผือกจะอยู่ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยา ในส่วนสถานที่พำนักของหลวงปู่ฤาษีนั้น ครูแก้วให้ความเห็นว่าน่าจะเป็นสถานที่บนโลกมนุษย์ ไม่ได้อยู่บนสวรรค์เหมือนหลวงปู่เผือกและพระจุฬามณีที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว เหตุผลคือเพราะทั้งหลวงปู่ฤาษีและโยคีท่านอื่นๆ ที่ครูแก้วได้มองเห็นต่างเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตทั้งสิ้น
ครับ-เรื่องราวของครูแก้ว อัจฉริยกุลกับหลวงปู่เผือก ธัมมะโกศโล หรือพระครูธรรมโกศล เป็นเรื่องของ “ความเชื่อและความศรัทธา” ที่ค่อนข้างเด่นชัดและยืนยงมาอย่างยาวนาน ดังจะเห็นได้จากกิจกรรมหลายๆ อย่างของครูแก้วที่ท่านได้ร่วมทำกับบรรดาลูกศิษย์ท่านอื่นๆ เช่นการมีส่วนร่วมในการขออนุญาตหลวงปู่เผือก เพื่อหล่อรูปเหมือนหลวงปู่เผือกให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป
โดยในการหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เผือกก็มิใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ครับ เนื่องจากลูกศิษย์แต่ละคนตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีใครได้พบหรือเห็นหลวงปู่เผือกสักคน ดังนั้นการหล่อจึงต้องใช้บริการจากอาจารย์พนม สุวรรณบุณย์ ที่ต้องเพียรนั่งหลับตาเข้าสมาธิจึงจะสามารถเห็นรูปร่างของหลวงปู่เผือกได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ